เทศน์เช้า วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
การทำบุญทำกุศล เห็นไหม ถ้าเราทำคุณงามความดี กิเลสมันจะไม่ยอมรับนะ มีคนหลายคนเลย เขาสร้างวัดสร้างวาแล้วมีคนติเตียนว่า ถอยหลังเข้าคลองไง พวกนี้เป็นพวกถอยหลังเข้าคลอง ไม่เจริญรุ่งเรือง ความเจริญรุ่งเรืองมันต้องออกไปทางโลกเขา ถ้าทางโลกทางแข่งขันกัน การแสวงหาอย่างนั้นเป็นความเจริญรุ่งเรือง เขามองหน้าเดียว หลวงตาบอกว่า คนเราเกิดมามี ๒ ตา ตาหนึ่งคือตาโลก ตาหนึ่งคือตาธรรม ตาโลกก็ควรทำอย่างนั้น
คนขยันหมั่นเพียร ถ้าอยู่ในโลกก็ขยันหมั่นเพียร ถ้ามาบวชในพุทธศาสนาแล้ว ก็ขยันหมั่นเพียร ประพฤติปฏิบัติก็ขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียรมันเป็นจริตนิสัย จะอยู่ที่ไหนก็เจริญรุ่งเรือง อยู่ทางโลกประกอบอาชีพก็มีความเจริญรุ่งเรือง ไปประพฤติปฏิบัติก็มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมด เห็นไหม ถ้ามีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมามันเกิดจากจริตนิสัย อันนี้ก็เหมือนกัน แต่คนมันเจริญรุ่งเรืองแล้ว ก็ต้องลืมตา ๒ ตาด้วย ตาหนึ่งคือตาของโลก การทำคุณงามความดี เราประกอบอาชีพขึ้นมาเราก็ทำของเรา แต่เรายังมีโอกาสได้ลืมตาอีกตาหนึ่ง แต่กิเลสมันจะไม่ยอมรับ กิเลสมันบอกว่า อย่างนี้คือมันถอยหลังเข้าคลอง พวกนี้เป็นพวกถอยหลังเข้าคลอง พวกนี้จะไม่เจริญก้าวหน้า ถึงเขาจะเจริญก้าวหน้าไปขนาดไหน แต่พอตายไปเขาก็มีความทุกข์ของเขา
ถอยหลังเข้าคลอง ก็เหมือนกับเรามีน้ำเย็น เหมือนมีคลองอยู่คลองหนึ่ง เอาไว้ชโลมใจ มันไม่ดีหรือ มันกลับเป็นประโยชน์กับเรา กลับเป็นของดีกับเรานะ เรามีที่พักที่อาศัย มีน้ำเย็น มีน้ำมีท่าเอาไว้ให้ความชุ่มเย็นกับหัวใจของเรา ไอ้ของเขามันไม่มี แล้วมีแต่ความเร่าร้อน แล้วพอคนอื่นจะทำเข้าไป ก็ไปติเตียนเขานะว่า ถอยหลังเข้าคลอง ก็ตัวเองทำไม่ได้ กิเลสมันปิดบังใจของตัวเอง ตัวเองทำไม่ได้ เขาหาของเขาขึ้นมาเพื่อความเจริญของเขา แล้วมันจะไปบอกเขาได้ไหมว่ามันจะถอยหลังเข้าคลอง คำว่าถอยหลังเข้าคลองนี่ มันคือถอยไปหาความเสื่อม แต่เขาบอกว่าทำอย่างนี้มันจะไม่เจริญก้าวหน้า แต่ไม่ได้มองมุมกลับนะว่า คนพวกนี้เขามีความร่มเย็นในหัวใจ เขามีที่พักใจของเขา เขามีความสุขของเขา ไอ้เรามีแต่ความเร่าร้อนในหัวใจ มันไม่มองตรงนั้นไง ตรงที่ว่าถ้าใจมันรุ่มร้อนนี่มันไม่ได้มอง เพราะสิ่งนั้นมันต้องเร่าร้อนอยู่แล้ว สิ่งนั้นเป็นวัตถุ สิ่งนั้นเป็นไฟ
ไฟมันก็ต้องเผา กิเลสมันต้องเผาหัวใจ ไฟมันก็เผาหัวใจ มันเผาหัวใจของเขา แล้วเขาไม่มีที่พักที่พึ่งพิง อย่างนั้นมันจะเป็นคุณงามความดีอย่างไร อย่างของเรามีคุณงามความดีมีที่พึ่งพิง แต่เขาจะพูดเขาจะติเตียนขนาดไหน นั่นมันเรื่องของกิเลส เรื่องของกิเลสแล้วเราอย่าเอามาใส่ใจนะ อาจารย์สอนว่า ให้ดูใจของตัว ดูใจของเรา ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นไป ถ้ามันเป็นใจของตัว เราจะแก้ไขใจของเราได้ เราทำของเราได้ เห็นไหม เราจะเจริญรุ่งเรืองหรือเราจะเสื่อมถอยนี่เรารู้อยู่ในหัวใจของเรา เรารู้อยู่สิว่า เราทุกข์เรายากขนาดไหน ถ้ามันออกไปแล้วมันจะมีความทุกข์ยาก นั่นมันก็เป็นการที่ว่า ออกไปเผชิญโลกไง เผชิญความทุกข์ความยาก เผชิญแล้วมันก็เร่าร้อนอยู่อย่างนั้น เห็นไหม เผชิญอยู่อย่างนั้น เผชิญโลกอยู่อย่างนั้น แต่มันมีที่ร่มเย็นของใจ เห็นไหม
นี่ถึงว่า เวลาใจเร่าร้อนนี่ทุกคนเปรียบเทียบได้ เวลาพูดนี่ถ้าเราไม่มีสิ่งที่มาเทียบเคียงนะ เราจะไม่เห็นความรู้ของเราหรอก เราจะเทียบเคียงไม่ได้ แต่คนเราถ้าทำความสงบใจของตัวขึ้นมา มันจะมีความร่มเย็น ถ้ามันมีความพะรุงพะรังเห็นไหม เวลามันคิดอะไรที่มันรุงรัง แล้วเราปลดเปลื้องออกไป มันจะปล่อยวางออกไป ปล่อยวางออกไปบ่อยเข้า จนทำความสงบของใจได้ เห็นไหม นี่คือเรือนของใจ ผู้มีจิตตั้งมั่น สามารถสร้างเรือนของหัวใจขึ้นมาได้ ๑ เรือน เห็นไหม ถ้าเราสร้างเรือนของหัวใจขึ้นมาเรือนหนึ่ง คือใจเรามีที่พักพิงอาศัย เรามีของเรา เราถึงจะเปรียบเทียบได้ ถ้าเปรียบเทียบได้ จะเห็นชัดเจน เห็นไหม เห็นชัดเจนว่า มีเรือน มีที่พึ่งอาศัย หลบจากที่ร้อนมาพักในที่เย็น มันก็เปรียบเทียบขึ้นมาได้ส่วนหนึ่ง แล้วมันยังเข้ามาทำให้ความสงบของใจ แล้วมันก็เข้าไปดัดแปลงตน ดัดแปลงความคิดของเรา
ใครที่ว่าถอยหลังเข้าคลอง ให้มันพูดไป คนจะพูดขนาดไหนให้พูดไป แต่เราคิดว่าเราเจริญรุ่งเรืองของเรา มันเป็นความเห็นของเรา มันเป็นสิ่งสุดวิสัยที่จะทำให้คนมีความเห็นเหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นี้ เราจะไปขวางโลกได้อย่างไร ถ้าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วเราเชื่อเขานะ เราก็เป็นไปตามเขา ถ้าเราเชื่อเขาเราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรของเราเลย ถ้าเราไม่ได้ประโยชน์อะไรของเราแล้ว เราเองเราก็เสียผลประโยชน์ด้วย แต่ถ้าเราปล่อยวางเขา โลกธรรม ๘ สิ่งที่เขาทิ่มตำเรา มันเป็นเรื่องกิเลสของเขา เขาต้องเผาตัวเขาเองอยู่แล้ว เห็นไหม เขาต้องเผาตัวของเขาเอง คือว่ามันเห็นแล้วมันขัดหูขัดตาของเขา
ความที่สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับโลก ควรเก็บไว้ใช้สอย ทำไมเสียสละออกไป ให้มันสูญเสียไป ความสูญเสียไปนี้ มันสละออกไป มันคือเรื่องของหัวใจ เห็นไหม มันสละออกไปในเรื่องของวัตถุ แต่มันได้มาด้วยความเป็นบุญกุศล มันได้มาด้วยความสุขใจ มันได้มา อันนั้นมันเป็นประโยชน์กับเรา คนฉลาด เห็นไหม วัตถุเดี๋ยวนี้ เทคโนโลยีเจริญขึ้นไป มันจะเล็กลงๆ เห็นไหม สิ่งที่เล็กลงแต่มีความเร็วมากขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นนามธรรม เขามองไม่เห็น แต่มันเป็นคุณประโยชน์กับใจ มันเป็นสมบัติของใจ มันจะเป็นไปกับเรา สิ่งที่เป็นไปกับเรานี่ เราแสวงหาสิ่งนี้ แล้วมันผิดที่ตรงไหน มันไม่ผิดหรอ
ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า พูดอยู่แล้ว ทาน ศีล ภาวนา เป็นที่พึ่งอาศัยของ สัตว์โลก อย่างอื่นนั้น มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ที่พึ่งอาศัย เห็นไหม อาศัยไปในวัฏฏะ กับปัจจัยเครื่องอาศัย อยู่ในภพเดียว อยู่ในปัจจุบัน มันทุกข์ยากขนาดไหนนะ เวลาทำคุณงามความดีอย่างนี้ มันก็ไปเกิดบนสวรรค์ เกิดเป็นพรหม เวลาของมันก็ยาวกว่า ทำความชั่วทำความลามกไว้ มันก็ตกนรกไป มันต้องไปเผาไหม้อยู่อย่างนั้น มันเผาไหม้แล้วมันก็ไม่ตาย สิ่งที่ไม่ตาย แล้วมันก็เวียนมา เห็นไหม เวียนมาแล้วมันก็ย้อนกลับมาเป็นจริตนิสัยของคน เห็นไหม จริตนิสัยของคนเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ขวางใจ มนุษย์เป็นภพปานกลางๆ จากข้างล่างขึ้นมา ก็มาเกิดเป็นมนุษย์ จากข้างบนพอใช้บุญกุศลหมดไป ก็มาเกิดเป็นมนุษย์ หัวใจถึงต่างกันไง ความเห็นถึงต่างกัน เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ถึงบอกว่าไม่อยากสอนใครเลย เพราะว่าใครจะรู้ได้อย่างไรก็มันลึกลับขนาดนั้น แต่เสร็จแล้วก็สอน สอนแล้วก็ได้ อริยสาวกไปมากมาย เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันซุกอยู่ เห็นไหม ในมนุษย์เราก็มีคนที่มีความเห็นเหมือนเรา แต่เขาไม่พูดออกมาว่าเขามีความเห็นเหมือนเรา ทุกคนแสวงหาความดี ทำไมคนเรากลัวผี ทุกคนในสัญชาตญาณจะกลัวผีเพราะอะไร มันกลัวผีเพราะโดยสัญชาตญาณมันกลัวความมืด กลัวในใจของตัวเอง มันมีอยู่ทุกคนในหัวใจ อันนี้ก็เหมือนกัน ความแสวงหาความดีทุกคนก็อยากได้ แต่ไม่กล้าพูด กลัวจะโดนติเตียนว่าถอยหลังเข้าคลอง เห็นไหม
คุณงามความดีทุกคนอยากจะปรารถนา แล้วมันเป็นเรื่องของคุณงามความดี แต่คุณงามความดีนี้มันแสดงออกไม่ได้ แต่กิเลสมันแสดงออกได้ เห็นไหม ใครติเตียนว่านรกสวรรค์ไม่มี คนนั้นนับว่าเก่งมาก ค้านได้กับกระแสสังคม เขาจะค้านขนาดไหน ก็ค้านไป เขาค้านได้แต่ความเห็น แต่ความเป็นไป แต่สัจจะความจริงไม่ใช่อย่างนั้น สัจจะความจริงมันมี สิ่งใดที่มีจริงอยู่มันก็มีจริงอยู่ ทวีปต่างๆ ในโลกนี้มีอยู่ เราอยู่ทวีปเอเชีย ทวีปอื่นมันก็ต้องมีอยู่ อันนี้ก็เหมือนกัน ภพชาติมันมีอยู่ ภพชาติมันเป็นที่เสวยของใจ
ความคิดนี้ เวลาความคิดเกิดขึ้น ภพมันเกิดขึ้นแล้วเห็นไหม ภพเกิดขึ้น สภาวะเกิดขึ้น ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นกระแสออกมา แต่เวลามันไม่คิดมันไปไหน เวลาไม่คิดมันก็ไม่มีเห็นไหม เวลาคิดขึ้นมาสภาวะเกิดขึ้น ภพตั้งละ นี่ก็เหมือนกัน เวลาใจมันตายไปแล้ว มันเป็นนามธรรม มันไปตั้งอยู่ที่ตรงไหนล่ะ มันตั้งตรงไหนตรงนั้นก็เป็นภพของมัน ภพของมันเป็นภพในวัฏฏะ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าในวัฏวน มันเป็นวัฏฏะ แล้ววัฏฏะนี่มันก็หมุนเวียนออกไป เป็นวัฏฏะของเขา แล้วเราก็จะตามวัฏฏะไป เห็นไหม ถ้าตามวัฏฏะไป มันก็เป็นอดีต อนาคตมันแก้ไม่ได้
พระพุทธเจ้าถึงให้แก้ที่ปัจจุบัน แก้ปัจจุบันมันก็ต้องต่อสู้เผชิญหน้ากับกิเลส เห็นไหม เผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่มันพยายามผลักไส ถ้ามันผลักไสมันเป็นอดีต อนาคต มันคิดได้ว่า เราอยากจะทำเมื่อนั้นๆ แล้วก็ไม่ได้ทำ อยากจะเป็นไปอยากจะคิด เห็นไหม มันผลักไสออกไป เห็นไหม ซึ่งๆ หน้าถ้าเราชนกับกิเลสได้ มันก็จะเป็นปัจจุบันได้ เราชนกับกิเลสของเรา เห็นไหม เราเองเราก็ต้องฝ่าฝืนกับกิเลสของเราอยู่แล้ว แล้วยังให้คนอื่นมาติเตียน ไปฟังโลกธรรมที่เขาเป็นไป เพราะเราก็พะรุงพะรังด้วยกิเลสของเรา แล้วจะต้องไปแบกรับกิเลสของคนอื่นมาให้พะรุงพะรังกับเราทำไมอีก
ความเป็นกิเลสของเรา เราก็ต้องต่อสู้ของเราอยู่แล้ว ต่อสู้เพื่อเอาชนะตนเอง ถ้าชนะตนเองแล้วมันก็เห็นใจของตัวเอง ถ้าเห็นใจของตัวเองมันก็จบสิ้น ถอยหลังเข้าคลองนั้น มันเป็นกิเลสพูด แต่ความจริงแล้ว เราถอยหลังเข้าหาธรรม ธรรมะเป็นของดั้งเดิม เกิดมานี้ สภาวะจิตก็เกิดขึ้นมา ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นมาก่อน ตัวจิตนี่ตัวพาเกิดพาตาย แล้วเราจะถอยหลังเข้าไปหาจิตของตัวเอง ไปแก้ไขจิตของตัวเอง มันจะผิดไปไหน มันถูกต้อง เห็นไหม ถูกต้องตามธรรมตามวินัย
มันถูกต้องตามธรรมตามวินัยตรงไหน ตรงที่ว่าเราไปแก้ไข เห็นไหม โลกียะคือความคิดต่างๆ เริ่มต้นจากความเป็นโลก เริ่มต้นจากศรัทธาความเห็น มันพิจารณาขึ้นมา ก็ปล่อยวางเข้ามา มีความสงบใจเข้ามา พอสงบใจเข้ามา ความคิดอันใหม่เกิดขึ้นเป็น โลกุตตระ ถ้าโลกุตตระเกิดขึ้นมา เห็นไหม ถอยหลังเข้าไปที่ไหน ถอยหลังเข้าไปที่ใจ มันแก้กันที่ใจ โลกุตตระ คือปัญญาของใจ ไม่ใช่ปัญญาของสมอง ปัญญาความเห็นของใจ ปัญญาของใจจะแก้ไขลงมาที่ใจ
ถ้าแก้ไขลงไปที่ใจได้ นี่คือถอยหลังเข้าคลอง ถอยหลังเข้ามาแก้ตนเอง ถอยหลังเข้ามาแก้จริตนิสัย แก้ความเห็น แก้ต้นขั้วของความคิด เห็นไหม
มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เดี๋ยวนี้เธอจะเกิดอีกไม่ได้เลย เพราะเราเห็นตัวเธอแล้ว
เห็นไหม แต่เรายังไม่เห็นตัวของมารของเรา ถ้าเราแก้มารของเราได้เราจะประสบความสำเร็จของเรา มารของใครก็เป็นมารของคนนั้น ความเห็นของใคร กิเลสของใครก็เป็นของคนนั้น แต่กิเลสมันออกจากปากของเขาแล้ว มันเผาเขาแล้ว มันยังมาเผาเราอีก เห็นไหม ถอยหลังเข้าคลองนั้นเป็นความเห็นของกิเลส
แต่ถ้าเป็นความจริงแล้ว เราถอยหลังเข้ามาหาธรรมของเรา ธรรมนี้ใจสัมผัส ใจนี้สัมผัสธรรม สัมผัสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ก่อน แล้วเราเกิดมาพบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันกำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่นี้ ถ้าเราไม่ทำขึ้นมา พอหมดไปแล้ว ก็หมุนไปในวัฏฏะ ไปแก้อดีตอนาคต นั่นก็หมุนเวียนไป เป็นอย่างนั้น เห็นไหม ให้แผ่ส่วนกุศลมา ให้ทำบุญกุศลกัน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)